รัฐอลาสก้า หรือ อะแลสกา มาจากภาษารัสเซียว่า Alyaska เป็นมลรัฐที่ 49 และยังเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา อยู่ติดกับแคนาดาแต่กลับไม่มีพื้นที่ติดกับอเมริกาเลย ซึ่งเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย และถูกขายให้กับอเมริกาในสมัยของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 เมื่อปี 1867 ในราคา 7.2 ล้านดอลล่า
ธงประจำรัฐอลาสก้ามีพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม มีดาวสีทอง 8 ดวง โดย 7 ดวงเล็กๆเรียงกันเป็นรูปหมี และอีกดวงจะมีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่มุมบนขวามือ คือดาวเหนือ โดยมีความหมายว่ารัฐอลาสก้าจะเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นในสักวัน ถึงแม้ประชากรจะมีจำนวนไม่มาก แต่รายได้ต่อหัวกลับสูงเป็นอันดับที่ 48 ของอเมริกาเลยทีเดียว
รัฐ Alaska มีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่กว่ารัฐ Texas และยังอุดมไปด้วยน้ำมันและก๊าซ ทำให้อุตสาหกรรมก๊าซและน้ำมันสร้างรายได้เข้ากว่า 80% ให้กับพื้นที่ และถึงแม้ว่าอลาสก้ามีแหล่งเพาะปลาแซลมอนหลายแห่งและเป็นยังผลิตภัณฑ์ส่งออกของรัฐ รวมไปถึงปลาคอด และปูอลาสก้า แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมีการจ้างงานมากที่สุด อันเป็นผลมาจากความสวยงามของแหล่งธรรมชาติที่เที่ยวอลาสก้า อันเป็นสเน่ห์และดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนอลาสก้าถึงปีละ 1.1 ล้านคนต่อปีนั่นเอง
เที่ยวอลาสก้าช่วงไหนดีที่สุดนั้นต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากแจงคร่าวๆ ช่วงเดือนอบอุ่นที่สุดคือเดือน มิถุนายน – สิงหาคม จะเป็นช่วงที่พีคที่สุด เป็นช่วงที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะมีโอกาสที่จะได้เจอแพะภูเขา หมีสีน้ำตาล ได้ดูวาฬ และแมวน้ำ แต่ถ้าใครชื่นชอบบรรยากาศหิมะขาวโพลนท่วมทุ่ง ก็ต้องเที่ยว Alaska ช่วงเดือน พฤษภาคม แต่ถ้าต้องการล่าแสงเหนือ ก็ต้องเป็นช่วงเดือนกันยายน ที่จะมีโอกาสเกิดแสงเหนือมากที่สุด

เมื่อพูดถึงแสงเหนืออลาสก้า ภาษาอังกฤษ Aurora Borealis เป็นอีกสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่มีความสวยงามและแรงดึงดูดให้ใครๆก็อยากไปท่องเที่ยวอลาสก้า และเห็นด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิต รวมไปถึงการได้เยี่ยมเยียนน้องหมีขาวอลาสก้า หรือ Pola bear แล้วทำไมหมีขั้วโลกถึงมีขนสีขาว?
ที่จริงแล้วหมีขาวขั้วโลก มีผิวหนังสีดำ แต่ถูกปกคลุมด้วยขนสีใส เพื่อให้แสงแดดสามารถทะลุผ่านลงไปยังผิวหนังสีดำ และดูดซับอุณหภูมิของแสงแดดที่มีระยะเวลาสั้นๆไว้ และการที่เรามองเห็นหมีขั้วโลกมีสีขาว นั่นเป็นเพราะเมื่อเวลาที่น้องหมีอยู่ท่ามกลางแผ่นน้ำแข็งและหิมะ จะเกิดการสะท้อนแสง ทำให้ตาเปล่าของคนเรามองเห็นหมีมีขนสีขาว แต่บางครั้งเราก็จะเห็นหมีขั้วโลกมีขนออกสีเหลืองๆ ซึ่งเกิดจากไขมันของสัตว์ที่กินเข้าไปเป็นอาหาร เช่น ปลาคอด แมวน้ำ เป็นต้น

Alaska ที่เที่ยวยังมีอีกหลายเมืองที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยี่ยมเยือน และชมความสวยงามของธรรมชาติจัดสรร โดยเราจะมาดูเมืองที่ควรแวะเที่ยวของอลาสกันสักหน่อย
พิกัดที่เที่ยวอลาสก้าที่น่าสนใจ
เมืองจูโน(Juneau)
เมืองหลวงของรัฐอลาสก้า ที่ไม่สามารถเข้าถึงด้วยทางถนนได้ แต่ต้องเดินทางน้ำหรือทางอากาศเท่่านั้น เป็นเมืองเล็กๆแต่น่ารักและรายล้อมไปด้วยความงดงามของธรรมชาติอย่างที่สุด ด้วยคนบุกเบิกในยุคแรกๆคือชาวยุโรป บ้านเรือนจึงเป็นสไตล์ยุโรป มีความสงบท่ามกลางธรรมชาติ หากคุณนิยมท่องเที่ยวแบบสำรวจธรรมชาติ ไม่ควรพลาดเมืองนี้อย่างยิ่ง เพราะแม้จะเป็นเมืองเล็กกว่าเมืองอื่น แต่การได้นั่งรถรางขึ้นไปยังภูเขาโรเบิร์ต (Mount Roberts) เพื่อได้ชมวิวสวยๆของเมือง หรือการได้เห็นเทรซี่ อาร์ม ฟยอร์ด (Tracy Arm Fjord) ธารน้ำแข็งที่ถูกกัดเซาะจนเป็นร่องผืนน้ำยาวจนเรือสามารถแล่นได้ ซึ่งถูกขนาบสองข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในฤดูหนาว สวยจนเหมือนหลุดไปยังโลกนิทาน จึงนับว่าเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเลยจริงๆ และธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier) ซึ่งมีถ้ำที่สามารถเข้าไปสำรวจได้
เมืองแองเคอเรจ (Anchorage)
เมืองใหญ่ที่สุดของอลาสก้า เป็นเมืองเศรษฐกิจของอลาสก้าที่ไม่ติดทะเล แต่ติดกับท่าเรือน้ำลึกซีวอร์ด (Seward) และเป็นเมืองต้นๆที่นักท่องเที่ยวจะต้องไม่พลาด ยิ่งใครเป็นสายธรรมชาติ แนะนำวนอุทยานแห่งชาติชูกาค ที่รายล้อมไปด้วยความสวยงามของทะเลสาบ แม่น้ำ แต่ถ้าคุณชื่นชอบการตกปลา รักการล่องแก่ง จะต้องไม่พลาดอุทยานแห่งชาติคีนายฟยอร์ด สวรรค์ของเหล่านักฟิชชิ่ง และยังได้ชมความงามของธารน้ำแข็งโฮลเก็ตอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณพ์ต่างๆให้ชื่นชมและศึกษาวิถีแห่งอลาสก้า เช่นพิพิธภัณฑ์แองเคอเรจ ที่ภายในจะจัดแสดงผลงานศิลปะของชาวอลาสก้าหมุนเวียนกันไป ก่อนจะไปเดินช้อปปิ้งที่ดาวน์ทาวน์ก็ดีไม่น้อยเลย

เมืองพาล์มเมอร์ (Palmer)
เมืองพาล์มเมอร์อยู่เหนือเมืองแองเคอเรจไม่ไกลนัก เป็นที่ตั้งธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา อย่างธารน้ำแข็งทามานุสกา ที่สามารถขับรถไปได้หรือจะนั่งเรือไปชมใกล้ๆ และยังปีนภูเขาน้ำแข็งได้อีกด้วย เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของนักปีนภูเขาน้ำแข็งเลยทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นช่วงเดือนตุลาคม ที่เป็น Autumn Colors หรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะได้เห็นความงดงามของธารน้ำแข็งท่ามกลางต้นไม้สีเหลือง ส้ม แดง ที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ได้ที่เห็นไปอีกนาน นอกจากนี้ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน จะมีการจัดงานที่มีการออกร้านค้าจำหน่ายสินค้าต่างๆมากมายอย่าง งานอลาสก้า สเตท แฟร์ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวอลาสก้าได้อย่างจุใจ

อุทยานแห่งชาติเดนาลี (Denali National Park and Preserve)
วนอุทยานแห่งชาติเดนาลี ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเดนาลี หรือยอดเขาแม็คคินลีย์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือ และเป็นรองอันดับ3 ซึ่งรองจากยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และยอดเขาอากองกากัว มีแหล่งธรรมชาติและสัตว์ป่าหลากหลายให้ได้ชมอย่างใกล้ชิด สายป่าสายแคมป์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง และหากเดินทางมาช่วงหน้าหนาว ก็อาจได้ชมแสงเหนือท่ามกลางหมู่แมกไม้ เรียกได้ว่าได้ชมธรรมชาติรังสรรสุดๆกันไปเลย
เมืองแฟร์แบงค์ส (Fairbanks)
เมืองแห่งแสงเหนือที่ควรตามล่าสุดๆ เพราะจะสามารถเห็นแสงเหนือสุดอลังการได้ที่เมืองแฟร์แบงค์แห่งนี้ เป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวจะต้องลิสไว้ในรายการแรกๆ เพราะสามารถชมพระอาทิตย์ได้ทั้งวันทั้งคืน ล่าแสงเหนือ และนั่งรถสุนัขลากเลื่อน หรือจะไปแช่น้ำพุร้อนท่ามกลางธรรมชาติ อย่างน้ำพุร้อนเชนา ที่จะช่วยให้ผ่อนคลายหลังจากท่องเที่ยวรอบเมืองมาทั้งวัน
อุทยานแห่งชาติ Wrangell-St. Elias National Park and Preserve
ที่ตั้งของ Kennecott Mines National Historic Landmark เหมืองโบราณร้าง และยังที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกา 16 แห่ง นอกจากนี้ยังเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า ท่ามกลางธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งภูเขา ทะเลสาบ และมีธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier) ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และยังเป็นอีกหนึ่งในพิกัดล่าแสงเหนือที่ไม่อยากให้พลาด

สแก็กเวย์ (Skagway)
เมืองเล็กๆที่เคยรุ่งเรืองจากการขุดทอง แต่เมื่อหมดยุคแห่งการขุดทอง ทำให้ผู้คนย้ายออกไปจนเหลือประชากรเพียงพันกว่าคนในหมู่บ้าน แต่ด้วยการอนุรักษ์บ้านเรือนเก่าแก่สีสันสดใสไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ทำให้กลายเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของนักท่องเที่ยว และยังมีกิจกรรมที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนสแก็กเวย์อย่างไม่ขาดสาย นอกจากการนั่งรถสุนัขลากเลื่อน คือ การได้นั่งรถไฟสาย White Pass & Yukon Route เส้นทางรถไฟอันเก่าแก่ ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1898 เพื่อพาขึ้นเขาสูงถึง 3,000 ฟุต โดยมีทัศนียภาพอันสวยงามของธรรมชาติให้ชมตลอดระยะทาง 20 ไมล์
